หน้าหลัก ชีวประวัติ หนังสือและเทป ฐานิโยธรรม วัดป่าสาลวัน บูรพาจารย์เจดีย์ ลิงค์เวบศาสนา ฐานิโยดอทคอม

นางปฏาจารา ผู้สูญเสีย
ของรักหมดสิ้นภายในพริบตา
จะกล่าวถึงนางปฏาจาราธิดาเศรษฐีผู้มั่งคั่ง นางได้รับการเลี้ยงดูอย่างทะนุถนอมปานดวงใจอยู่ในปราสาท ๗ ชั้น เรือดไม่ได้ไต่ ไรไม่ได้ตอม จนอายุ ๑๖ สดสวยเปล่งปลั่งดุจดวงเดือนคืนเพ็ญฉะนั้น

แต่แล้วถึงคราวจะวิบัติก็มิได้มีสิ่งใดมาปิดกั้นเอาไว้ได้ นางปฏาจาราเกิดไปรักใคร่ลุ่มหลงเด็กหนุ่มผู้รับใช้ใกล้ชิดเข้า ต้องหลบหนีบิดาออกไปอยู่กับสามีในกลางดงใหญ่ ได้รับทุกขเวทนานานาประการด้วยต้องดำรงชีวิตเยี่ยงชาวป่าผู้ยากไร้

ต่อมาไม่นานนางปฏาจาราก็ตั้งท้องขึ้นมา นางปรารภกับสามีตอนใกล้จะคลอดว่าขอให้สามีพานางไปคลอดที่บ้านผู้เป็นบิดาอันเป็นธรรมเนียมของพราหมณ์ที่จะต้องปฏิบัติอย่างนั้น

สามีก็โอนอ่อนผ่อนปรนตัดใจมิได้ขลาดเขลาหวังพานางมาเผชิญอันตรายจากพ่อตา แต่พอมาได้ครึ่งทางข้างจอมปลวก กัมมัชวาตก็ตีขึ้นนางปฏาจาราจำต้องคลอดบุตรลง ณ ที่ตรงนั้นด้วยความทุลักทุเล ทั้งสองสามีภรรยาจึงไปไม่ถึงเมืองต้องพาลูกกลับบ้านกลางทาง

อยู่ต่อมาอีกนางก็ตั้งท้องบุตรคนที่ ๒ และก็ต้องเผชิญกับเคราะห์กรรมคลอดกลางทางอีก การณ์มันเป็นอยู่อย่างนั้น จนทำให้นางปฏาจารากับสามีต้องอยู่ในป่าต่อมาเรื่อยๆ จนวันหนึ่งสามีเกิดล้มตายลงเหลือนางตัวคนเดียว ไม่สามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ในท่ามกลางป่าเขาอย่างนั้น คิดแล้วนางจึงตัดสินใจอุ้มลูกน้อยทั้งสองหมายจะกลับคืนบ้านเมือง
พญาเหยี่ยว
คราวนี้เดินทางมาถึงฝั่งน้ำอิจรวดี แม้น้ำจะไม่ลึกนักแต่ก็ขุ่นข้นเชี่ยวกราก นางปฏาจาราจะอุ้มลูก ๒ คนข้ามในคราวเดียวกันไม่ได้จึงวางคนน้องไว้ที่ฝั่งหนึ่ง แล้วอุ้มคนพี่เดินลุยน้ำมา พอถึงกลางน้ำพญาเหยี่ยวบินผ่านมาเห็นลูกคนเล็กของนางปฏาจาราก็โฉบลงมาพาตัวไปเสีย นางถึงฝั่งพอดีก็วางลูกคนใหญ่ไว้กระโจนลงน้ำหวังช่วยลูกคนเล็ก ลูกคนใหญ่ลุกขึ้นร้องไห้วิ่งตามแม่ลงน้ำ น้ำจึงพัดพาหายไป นางปฏาจาราสูญเสียหมดทุกสิ่งทุกอย่างในพริบตานั้น

ด้วยความเป็นปุถุชนนางปฏาจาราเสียใจจนวิกลจริตวิ่งเตลิดเข้าป่าจนผ้าผ่อนหลุดลุ่ย ได้รับทุกขเวทนายิ่งนัก

คราครั้งนั้นพระพุทธองค์ทรงญาณหยั่งรู้ว่านางปฏาจาราผู้นี้มีบุพกรรมหนักหนาสาหัสอยู่ แต่นางยังมีอดีตชาติในยุคของพระปทุมมุตตระพุทธเจ้าเป็นถึงพระเถรีผู้ทรงพระวินัยเป็นเอตทัคคะ ดังนั้นพระพุทธเจ้าสมณโคดมจึงสมควรโปรดให้นางได้คืนกลับมาเป็นพระเถรีอีกครั้งในยุคสมัยของพระองค์

ทรงดำริได้ดังนั้นแล้วพระพุทธสมณโคดมจึงเสด็จมาโปรดนางปฏาจาราผู้กำลังวิกลจริตจนนางสามารถพลิกจิตใจกลับด้านมาเป็นคนปกติได้ และทรงเทศนาสั่งสอนต่อไปจนนางสำเร็จโสดาปัตติผลและอรหัตผลตามลำดับ




กีสาโคตมี
ผู้ไม่เคยมีมรณานุสติ
นางกีสาโคตรมีอายุเพิ่ง ๑๖ ปี เป็นบุตรอัครมหาเสนาบดีมีสิริโฉมงดงามแรกแย้มประดุจเทพธิดา เธอได้รับการชุบเลี้ยงมาอย่างเลิศเลอจากบิดามารดาผู้มีศักดิ์ฐานะสูงส่ง จนกระทั่งความตายก็ไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างไร ไม่เคยเห็นไม่เคยพบและไม่เคยมีความคิดในเรื่องนี้คงจะเหมือนๆ กับเจ้าชายสิทธัตถะนั่นแหละ

ต่อมานางได้มาเป็นสะใภ้ของเศรษฐีจนกระทั่งนางตั้งท้องขึ้น ท่ามกลางความปลาบปลื้มยินดีของสามีและพ่อสามี แต่กรรมเวรตามมาไม่รู้จักจบ ปรากฏว่าลูกของนางกีสามีชีวิตอยู่ได้ไม่กี่ชั่วโมงก็ตายไป เป็นลูกชายเสียด้วย ทำให้คนในตระกูลของเศรษฐีเสียอกเสียใจกันมาก ร้องไห้ตีอกชกหัวกันวุ่นวาย แต่นางกีสาผู้เป็นแม่หาได้แสดงอาการเศร้าโศกไม่ เพราะนางไม่รู้ว่า “ความตาย” มันคืออะไร นางเฝ้าแต่อุ้มลูกที่ตายแล้วแนบอกด้วยความรักใคร่ไม่ยอมวาง จนผู้อยู่ใกล้ชิดพากันวิตก พยายามอธิบายความหมายของคำว่า “ตาย” ให้นางรู้แต่จนแล้วจนรอดนางก็ไม่รู้อยู่ดี

ยังมีบัณฑิตผู้หนึ่งรู้เรื่องเข้าจึงมาแนะนำนางกีสาให้พาศพลูกไปเฝ้าพระพุทธองค์ ซึ่งขณะนั้นประทับอยู่ที่เชตะวันมหาวิหาร เพื่อให้พระพุทธองค์ทรงเทศน์โปรดนางกีสา
พระพุทธองค์
พระพุทธองค์ทรงทราบปัญหาของนางกีสาแล้วโดยญาณพอเห็นนางกีสาอุ้มศพลูกเดินเข้ามาเฝ้า พระองค์ก็ตรัสบอกว่า ให้นางไปหาเมล็ดพันธุ์ผักกาดมาสักหยิบมือหนึ่ง พระองค์จะเอามาทำยารักษาลูกของนางกีสาให้ฟื้นแต่มีเงื่อนไขว่า เมล็ดพันธุ์ผักกาดนั้นต้องได้มาจากครอบครัวหรือบ้านที่ไม่มีคนตายเลย

นางกีสาดีใจอุ้มศพลูกตระเวนหาเมล็ดพันธุ์ผักกาดตามเงื่อนไขดังกล่าวแต่หาจนศพลูกเน่าเหม็นแล้วก็ไม่พบ จึงกลับมาทูลพระพุทธองค์ว่าไม่สามารถทำตามเงื่อนไขได้

ด้วยประการฉะนี้พระพุทธองค์จึงทรงเทศน์โปรดนางกีสาว่า ความตายนั้นมันเป็นธรรมดาของโลกอย่างไร นางกีสาครั้นได้สดับพระธรรมเทศนานั้นแล้วก็บรรลุโสดาปัตติผล ได้รับพุทธานุญาตให้บวชเป็นภิกษุณีตั้งแต่นั้นมามีนามอยู่ในพระสูตรว่า กีสาโคตมีเถรี
กลับหน้าหลัก