เรียนกรรมฐานเพื่ออะไร
แสดงพระธรรมเทศนาโดย
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย

จิตของท่านผู้บริสุทธิ์เหมือนน้ำนิ่งที่ใสสะอาดเต็มที่แล้วนิ่ง แต่จิตที่บริสุทธิ์ไม่ได้เหมือนน้ำ เพราะจิตไม่ใช่วัตถุ แต่ก่อนก็เป็นจิต “สภายุง” ตีกันชกกันเหมือนจิตเราทุกคน จิตที่เป็นสภายุงชกกันต่อยกัน อยู่ตลอดวันจะมีกรรมการที่ไหนมาตัดสิน มาแยกออกพันกันกับอารมณ์ต่างๆ อยู่ตลอดเวลา นักมวยขึ้นชกกันบนเวทีเขายังมีกรรมการแยกกรรมการตัดสิน แต่สภาจิต สภายุงนี้ไม่มีใครแยกใคร ต้องต่างคนต่างสู้กันอยู่บนเวที

สภายุงหรือสภายุ่งไม่หยุดบนหัวใจ ไม่มีเวลาให้น้ำพักแรงบ้างเลย แม้ล้มลุกคลุกคลานเพราะถูกต่อยก็ยอมทนทุกข์อยู่บนเวทีนั่นแหละ ไม่ทราบใครจะแยกใครหากจะมีผู้ไปแยกพอให้ได้หายใจบ้าง ก็ไม่อยากให้แยกทำไมจึงไม่อยากให้แยก?

ก็ธรรมดาจิตที่กำลังตกอยู่ในสภาพ “สภามวยยุง” นี้ มันชุลมุนวุ่นวายด้วยความโลภ ความโกรธ ความลุ่มหลงมาก ไม่เห็นอะไรดีกว่าสิ่งเหล่านี้ มีสิ่งเหล่านี้เต็มหัวใจแล้ว ราวกับจะเหาะเหินเดินฟ้าได้ เพลินกับมันจนไม่รู้จักเป็นจักตาย เหมือนไม่มี ป่าช้ากับโลกเขาโน่นนะ มัวว่าแต่จะมั่งมีดีเด่นอยู่ตลอดเวลา ครูบาอาจารย์สั่งสอนไม่อยากฟัง อรรถธรรมไม่อยากอ่าน อ่านแต่ความโลภโกรธ หลง วันยังค่ำเกิดเป็นวันเวลาเตรียมหาแต่ความรื่นเริงด้วยข่าวนั้นข่าวนี้ ด้วยบทเพลงต่างๆ หลับและตื่น ในใจหมกมุ่นอยู่กับสิ่งเหล่านี้ ความทุกข์นั้นยอมรับว่าทุกข์ แต่ไม่ยอมหาทางออกด้วยอุบายที่ชอบ ใจจึงเหมือนสภามวยไม่อยากให้ใครแยกออกจากสิ่งเหล่านี้ ปล่อยให้ตะลุมบอนกันไป แบบไม่มีจุดหมายปลายทาง เป็นอยู่อย่างนั้นทั้งวันทั้งคืน หลับตื่นลืมตา เต็มไปด้วยความอยากความหิวโหย ด้วยอำนาจแห่งความโลภ ความโกรธ ความลุ่มหลงงมงาย ราวกับจะตายกับโลกเขาไม่เป็นด้วยอำนาจแห่งความโลภ

ความทุกข์ที่ได้รับเพราะสิ่งเหล่านี้ทำพิษจนหาที่เก็บไม่ได้ ทุกข์ถึงขนาดน้ำตาร่วงไปด้วยในบางครั้งก็ยังพันกันอยู่ไม่ยอมหยุด ไม่ยอมให้ใครแยก คือ ไม่ยอมหวนระลึกเทียบอรรถเทียบธรรม เครื่องนำออกจากทุกข์ไม่ยอมเทียบเหตุเทียบผล ความผิดถูก ดีชั่วสุขทุกข์อย่างไรบ้างเลย ใจไม่ยอมคิดอ่านและเชื่อฟังสารคุณบุญบาปจากใครบ้างเลยนอกจากชุลมุนวุ่นวายอยู่กับเรื่องของตัวเอง ไม่ชอบให้ใครไปยุ่ง ไม่ชอบให้ใครไปช่วยแยกช่วยเตือน

ผู้สามารถแยกความทุกข์ของสัตว์ออกได้ด้วยอุบายที่ฉลาดแหลม ก็คือ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ รองลงมาก็ได้แก่ครูอาจารย์ที่ท่านเชี่ยวชาญทางด้านธรรมปฏิบัติแต่ใจไม่ใคร่ชอบ ธรรมดาจิตใจสภามวยยุงนี้ มันไม่ค่อยชอบด้วยเหตุด้วยผลที่เป็นอรรถเป็นธรรม จึงหาความสุขไม่เจอ เมื่อยังยุ่งอยู่ตราบใด ความสุขก็ไม่มีทางเกิดขึ้นได้ตราบนั้น กี่ปี กี่เดือน ใจก็เป็นดังสภาพที่เคยเป็น ยุ่งกันอยู่ตลอดเวลา อารมณ์ใดเกิดขึ้นก็คล้อยตามมัน เชื่อมันเสียทุกอย่าง เพราะไม่มีเหตุผลเป็นเครื่องทดสอบกันพอจะแยกแยะให้รู้ผิด รู้ถูก พอมีทางฝืนกันบ้าง

ถ้าพูดถึงใจที่รักใคร่ในอรรถในธรรมอยู่แล้ว ก็มีทางฝืนได้ ดังเราทั้งหลายประพฤติปฎิบัติกันอยู่เวลานี้ตามธรรมดาการปฏิบัติ การฝึกหัดดัดแปลงตัวเองก็คือ การฝึก ทรมานจิตใจ การกดขี่บังคับจิตเพื่อไม่ให้พลิกแพลงไปในสิ่งที่ผิด อารมณ์ที่ผิดก็ ต้องเป็นการฝืนและเป็นความลำบาก ที่เรียกว่าทำงานด้วยความทุกข์ลำบาก แต่ก็ฝืนทำได้เพราะเล็งเห็นคุณค่าของงานผู้อบรมธรรมย่อมเป็นผู้หนักแน่นทางเหตุผล เหตุผลว่าอย่างไรก็พยายามทำตามนั้น แม้จะยากลำบากก็ทนเพราะเชื่อเหตุเชื่อผล ได้แก่เชื่อธรรม

ผู้ไม่เชื่อธรรม ก็คือ ผู้ไม่เชื่อเหตุเชื่อผล ทำตามความชอบใจของตน และก็ความชอบใจเหล่านั้นแหละมันพาลงเหวลงบ่อ ให้จมดิ่งลงไปเรื่อยๆ จนหาทางฟื้นตัวไม่ได้ แต่ก็ไม่ยอมเห็นโทษ จึงเป็นความลำบากที่จะเจอความสุขความสบาย มนุษย์ที่ไม่มีขอบเขต เหตุผลมีมากเพียงไร ก็เท่ากับช่วยกันก่อให้เกิดความยุ่งเหยิงวุ่นวายมากเพียงนั้น

ถ้าตามกำเนิดและฐานะมนุษย์เราดีอยู่มาก เพราะมนุษย์เราฉลาด ฉลาดหลายแง่ หลายมุมที่สัตว์ไม่เคยมีถ้าฉลาดตามมนุษยธรรม มนุษย์สามารถทำประโยชน์ให้แก่มนุษย์และสัตว์ได้มาก ไม่มีสัตว์จำพวกใดเป็นคู่แข่งได้ แต่นี่ไม่เป็นเช่นนั้นกลับตรงข้าม มนุษย์มีมากเท่าไรมันยกตนเป็นหนึ่งเสมอ เข้าข้างตัว เห็นแก่ตัวโดยอาศัยความฉลาดเข้าสนับสนุน รู้สึกไม่มีใครเกินมนุษย์ที่ไร้เหตุผลไปได้ เมื่อการเข้าข้างตัวมีมาก ก็เห็นคุณค่าของคนอื่นมีน้อย นอกจากจะเห็นคุณค่าของตัวเด่นๆ เท่านั้น ทั้งๆ ที่ต้องอาศัยเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน แต่คุณค่าทั้งหลายก็มาเข้าตัวเสียเองนั่นน่ะ มนุษย์อุบาทว์ ขาดคุณธรรมในใจ น่าคบ น่าตายใจด้วยไหม? อ่านต่อ...