แสงโสมสาดส่องอาบทั่วชินทัตตาราม เสียงไก่โห่เริ่มแว่วมาเป็นระยะ ๆ ลมปลายปัจฉิมยามพัดแผ่ว รำเพยเอากลิ่นไม้ป่าบางชนิดติดมาด้วย หอมเย็นระรื่น แสงโคมไฟตามทิวไม้ที่จุดไว้เพื่อจงกรม เป็นเหมือนแสงแห่งดวงดาว
ภิกขุนูปัสสะยะในยามนี้ ช่างน่าทัสสนายิ่งนัก! เพราะนักบวชหญิงทั้งหลายเป็นผู้มีความเพียรกล้าเยี่ยงชายชาติอาชาไนย! "จริงอยู่ ธรรมชาติของจิตนี้มันดิ้นรนกวัดแกว่งรักษายาก ห้ามได้ยาก ผู้มีปัญญาจึงพยายามทำจิตนี้ให้หายดิ้นรน และเป็นจิตตรงเหมือนช่างศรดัดลูกศรให้ตรง
จิตนี้คอยแต่จะกลิ้งเกลือกลงไปคลุกเคล้ากับกามคุณ เหมือนปลาซึ่งเกิดในน้ำถูกนายพรานเบ็ดยกขึ้นจากน้ำแล้ว คอยแต่จะดิ้นลงไปในน้ำอยู่เสมอ ผู้มีปัญญาจึงพยายามยกจิตขึ้นจากอาลัยในกามคุณ ให้ละบ่วงมารเสีย" ภิกษุณีนางหนึ่งเพ่งพิศขึ้นภายในใจ
ในขณะที่นางเดินจงกรมในทิวไม้ที่มีแสงจันทร์นวลใยและโคมไฟสาดส่อง พร้อมไปกับประคองจิตและสติให้อยู่ในกาย เพื่อพิจารณาหัวข้อธรรมบางประการ
ฤดูนี้ เป็นปลายเหมันตฤดู ย่างเข้าสู่สารทกาล ลมหนาวโชยแผ่วไหวพัดใบไม้ให้ร่วงไปทั่วบริเวณชินทัตตาราม อันชินทัตตารามนี้เป็นที่พระชินทัตตาภิกษุณีผู้สิ้นอาสวะอยู่จำพรรษา ให้โอวาทพร่ำสอนนางภิกษุณีทั้งหลาย ฤดูนี้เป็นฤดูหนาวก็จริงแต่ความหนาวเย็นเยือกเข้าสู่ขั้วหัวใจนั้น
ไม่ได้เป็นอุปสรรคสำหรับมุนีผู้มุ่งต่อพระนิพพาน
ส่วนทางด้านทิศตะวันออกนั้น ดวงทินกรกลมโต เริ่มจะโผล่เหนือทิวไม้มาบ้างแล้ว ส่องแสงเงินแสงทองร่ำไร หมู่วิหกนกกาเริ่มออกจากรวงรัง ส่งเสียงครวญคร่ำร่ำร้องมาเป็นระยะ ๆ
ปัจจุสกาล
แสงสีขาวทางทิศตะวันออกเริ่มทาบขอบฟ้าจากทิศเหนือจรดทิศใต้ ลมรุ่งอรุณพัดเฉื่อยฉิว นั่นแสดงว่าใกล้เวลาออกสู่โคจรเพื่อบิณฑบาตแล้ว ภิกษุณีน้อยใหญ่ต่างก็เร่งความเพียรเพื่อความสิ้นกิเลสให้เหมือนที่พระแม่เจ้าชินทัตตาสิ้นแล้ว
พลางรำลึกถึงธรรมของพระศาสดาเพื่อเทียบกับใจที่เหนื่อยล้าต่อโลกและกิเลสอันเป็นประดุจภูเขาขวางกั้นธรรม
ภิกษุณีนางหนึ่งนามว่า "อิสิทาสี" ผู้ซึ่งผ่านวัยที่ทำให้หน้าชุ่มไปด้วยน้ำตา นางบากหน้าเดินดุ่มสู่อาราม เพิ่งได้อุปสมบทเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง อาศัยป่าทางด้านทิศตะวันออก กำลังเพ่งพิศธรรมที่พระศาสดาทรงสั่งสอนนี้ ว่า
"ภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่ริเริ่มเป็นเบื้องต้นแห่งดวงอาทิตย์เมื่อจะอุทัย ก็คือแสงเงินแสงทองที่ร่ำไร ฉันใด
ภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่ริเริ่มเป็นเบื้องต้นของกุศลธรรมทั้งหลาย ก็คือ การฝึกจิตให้ดี ฉันนั้นเหมือนกัน"
"ภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดทำความดีในเวลาเช้า ฤกษ์จะพึงดีในเวลาเช้า
ผู้ใดทำความดีในเวลากลางวัน ฤกษ์จะพึงดีในเวลากลางวัน
ผู้ใดทำความดีในเวลาเย็น ฤกษ์จะพึงดีในเวลาเย็น
ภิกษุทั้งหลาย! บุคคลใดทำความดีในเวลาใดๆ ฤกษ์จะดีในเวลานั้น ๆ"
พระดำรัสของพระศาสดานี้ช่างกินใจนางเสียเหลือเกิน พร้อม ๆ กันนั้นปีติก็ซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย นางย้อนรำลึกถึงชีวิตที่ผ่านมา "แต่ก่อนเราเป็นทาสของความรักเป็นทาสของสามี เป็นสตรีผู้ซื่อสัตย์ จนชาวเมืองทั้งหลายขนานนามว่า อิสิทาสี อันหมายความว่า หญิงผู้เป็นทาสของผัว
เราทำความดีดั่งพระพุทธองค์ทรงสอน เรื่องการครองเรือนเกือบจะสมบูรณ์แล้ว แต่แล้วความสุขนั้นก็ไม่อาจอำนวยผลให้สมประสงค์ได้ เราเคยฟังธรรมเรื่องการครองเรือน เรื่องการเป็นภรรยาที่ดี ที่พระผู้มีพระภาคตรัสแก่พระนางสุชาดาว่า
ดูก่อนสุชาดา! ภรรยาใดมีจิตคิดประทุษร้าย ไม่อนุเคราะห์ด้วยประโยชน์เกื้อกูล ยินดีในชายอื่น ดูหมิ่นสามี เป็นผู้อันเขาซื้อมาด้วยทรัพย์ พยายามฆ่าผัว ภรรยาของบุรุษเห็นปานนี้ เราตถาคตเรียกว่า "ภรรยาเปรียบด้วยเพชฌฆาต"
ส่วนสามีของหญิงใดประกอบด้วยศิลปกรรม พาณิชกรรม และกสิกรรม ได้ทรัพย์ใด ๆ มา ภรรยาปรารถนาจะยักยอกทรัพย์ แม้ที่มีอยู่น้อยนิดนั้นเสีย ภรรยาของบุรุษเห็นปานนี้ เราตถาคตเรียกว่า "ภรรยาเปรียบด้วยโจร"
ดูก่อนสุชาดา ภรรยาใดที่ไม่สนใจการงาน เกียจคร้าน กินมาก ปากร้าย ปากกล้า ร้ายกาจ กล่าวคำหยาบข่มขี่สามีผู้ขยันขันแข็ง ภรรยาของบุรุษเห็นปานนี้ เราตถาคตเรียกว่า "ภรรยาเปรียบด้วยนาย"
ส่วนภรรยาใดที่เป็นเสมือนพี่สาวน้องสาว มีความเคารพยำเกรงในสามี เป็นคนละอายเกรงกลัวต่อบาป เป็นไปตามอำนาจสามี ภรรยาของบุรุษเห็นปานนี้ เราตถาคตเรียกว่า "ภรรยาเปรียบด้วยพี่สาวน้องสาว"
ดูก่อนสุชาดา! ส่วนภรรยาใดอนุเคราะห์ด้วยประโยชน์เกื้อกูลทุกเมื่อ ตามรักษาสามีเหมือนมารดารักษาบุตร รักษาทรัพย์ที่สามีหามาไว้ได้ ภรรยาของบุรุษเห็นปานนี้ เราตถาคตเรียกว่า "ภรรยาเปรียบด้วยแม่"
ส่วนภรรยาในโลกนี้ เห็นสามีแล้วชื่นชม ยินดีเหมือนเพื่อนผู้จากไปนานแล้วกลับมา เป็นหญิงมีตระกูล มีศีล มีวัตร ปฏิบัติสามี ภรรยาของบุรุษเห็นปานนี้ เราตถาคตเรียกว่า "ภรรยาเปรียบด้วยเพื่อน"
ดูก่อนสุชาดา! ภรรยาใด สามีเฆี่ยนตี ขู่ตะคอก ก็ไม่โกรธ ไม่คิดพิโรธโกรธตอบ อดทนได้รับได้ เป็นไปตามอำนาจสามี ภรรยาของบุรุษเห็นปานนี้ เราตถาคตเรียกว่า "ภรรยาเปรียบด้วยทาสี"
|