นางคิดถึงพระดำรัสของพระศาสดานี้ก็ทำให้สลดใจอยู่ไม่น้อย พระธรรมกถาก็หลั่งไหลวนเวียนย้ำเตือนนางอยู่เสมอ
ภิกขุนูปัสสะยะเวลาเช้าช่างเงียบสงัดเหลือเกิน ภิกษุณีทั้งหลายต่างก็เร่งความเพียรเหมือนไม่รู้จักคำว่า "หลับ" ประคองธรรมะภายในใจประดุษพระพายรำเพยที่แผ่วไหว เมื่อกระทบกายใจใคร ก็จะรู้สึกสดชื่น
จริงอยู่มนุษย์ผู้ตื่นอยู่ไม่ใคร่จะหลับมีอยู่ 5 ประเภท ที่พระบรมศาสดาตรัสแก่ภิกษุภิกษุณีทั้งหลายเมื่อคราวที่พระองค์เสด็จผ่านมาโปรดเวไนยสัตว์ที่ชินทัตตารามแห่งนี้เองว่า "ภิกษุทั้งหลาย! บุคคลผู้ตื่นอยู่ไม่รู้จักหลับ คือผู้หลับน้อยแต่ตื่นนานในราตรีมีอยู่ 5 จำพวก คือ
1. สตรีผู้มีความประสงค์กำหนัดในบุรุษแล้วเธอก็ดำริคำนึงถึง
2. บุรุษผู้มีความกำหนัดในสตรีกระหายใคร่ได้ใคร่สัมผัส มีใจอันส่งไปกระสับกระส่าย
3. โจรผู้มีความประสงค์จะลักทรัพย์และคิดหาวิธีคอยโอกาส ที่ผู้คนหลับไหล
4. พระราชาผู้ประกอบในราชกรณียกิจเป็นห่วงประชาราษฎร์และการรบ
5. ภิกษุผู้ปรารถนาความหลุดพ้นหรือพุทธสาวกสาวิกาผู้ปรารถนาความหลุดพ้นเร่งความเพียร
อิสิทาสีภิกษุณีเธอเป็นผู้หลับน้อยตื่นนานเร่งความเพียร ปรารถนาความหลุดพ้น เมื่อคืนนี้นางพิจารณาธรรมอยู่ตลอดทั้งคืน พระพุทธคุณ เล่า! ก็ไหลวนเวียนเข้ามาสู่ความสำนึกอันลึกซึ้ง นางคิดว่า ภายใต้พุทธฉายานี้ ช่างมีความสงบเย็น ตื่นตาตื่นใจ วิปัสสนาธรรมเล่า! ก็นำมาซึ่งความบริสุทธิ์ที่น่าพึงใจ
เสียงไก่โห่อยู่ไม่นานท้องฟ้าก็เริ่มสาง ลมเย็นตอนรุ่งอรุณพัดแผ่วตามทิวไม้ แสงแดดในยามเช้าก็ชุ่มชื่นพอสบาย พระอาทิตย์เพิ่งจะยอแสงสาดส่องทั่วพื้นพิภพไม่นานนัก สายลมที่แผ่วไหวพัดเฉื่อยฉิวหอบเอากลิ่นดอกไม้ธรรมชาติติดมาด้วย นกตัวเล็กๆ กระโดดโลดเต้นด้วยความสำราญเบิกบานใจ
บินจากต้นนี้ไปสู่ต้นโน้น บินจากต้นโน้นไปสู่ต้นนั้น อันธรรมชาติของสัตว์นั้นเป็นธรรมชาติซื่อตรงไม่คดโกง นกตัวเล็กๆ พลางร้องเหมือนทักทายกันด้วยความสดชื่นในเวลาอรุณรุ่ง
ท้องฟ้าสางแล้ว แสงสว่างสาดไปทั่วไพรสณฑ์ โน้มน้อมดวงหทัยของนางภิกษุณีให้แจ่มใสชื่นบาน แลแล้ววิปัสสนาปัญญาก็โพลงขึ้น ชำแรกกิเลสแทงทะลุบาปธรรมทั้งมวลที่หุ้มห่อจิต แหวกอวิชชาและโมหะเป็นประดุจตาข่ายด้วยศัสตราคือวิปัสสนาปัญญา พิจารณาเห็นสภาวธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา
ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากกิเลสทั้งมวล บรรลุอรหัตผลพร้อมด้วยวิชชา 3 ในวันที่ 7 แห่งการอุปสมบท
นางลงจากที่จงกรมผินพักตร์ไปทางที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ กราบถวายบังคมพระศาสดาด้วยความเห็นบุญเห็นคุณอันสุดจะประมาณได้
"อา! นางอุทานเบา ๆ จิตนี้เป็นธรรมชาติผ่องใสมีรัศมีเหมือนจันทร์เจ้า แต่อาศัยกิเลสที่จรมาเป็นครั้งคราว จิตนี้จึงเศร้าหมอง เหมือนก้อนเมฆบดบังดวงจันทร์ให้อับแสง
จิตอันเป็นบาปใดที่เราเคยกระทำแล้ว แต่ภายหลังมาละได้ด้วยวิปัสสนาญาณ เป็นเหมือนพระจันทร์พ้นแล้วจากเมฆหมอกส่องแสงสว่างจ้าได้ฉะนั้น"
นางเตรียมนุ่งอันตรวาสก ครองอุตราสงค์ให้เป็นปริมณฑลเรียบร้อยถือบาตรเข้าสู่นครปาฏลีเพื่อบิณฑบาต ในระหว่างทางนั้นนางได้เจอกับเพื่อนภิกษุณีนางหนึ่ง สนทนากันพอประมาณได้ทราบชื่อว่า "โพธิ" เธอทั้ง 2 ได้ร่วมโคจรเที่ยวบิณฑบาตในสายทางเดียวกัน มีผู้คนคอยดักถวายอาหารเป็นแห่ง ๆ
ภิกษุณีพุทธสาวิกาเหล่านี้เป็นที่คุ้นตาของประชาชนชาวเมืองปาฏลีอยู่แล้ว เมื่อบิณฑบาตเสร็จแล้วฉันอาหารท่ามกลางหาดทรายที่ศรัทธานำมาถวายด้วยอาการสามีบริโภค อันเป็นแบบอย่างแห่งพระอรหันต์ทั้งหลาย ทำภัตตกิจเสร็จแล้วภิกษุณีทั้ง 2 ก็ยับยั้งอยู่ ณ ที่นั้น สนทนาธรรมด้วยวิหารธรรมอันประเสริฐ
"ข้าแต่แม่อิสิทาสีผู้ประพฤติพรหมจารีย์" โพธิภิกษุณีกล่าวถามขึ้น ท่านเป็นผู้หลับน้อยตื่นนานเร่งความเพียรรื่นเริงในธรรม มุ่งสันติวรบทคือพระนิพพาน ไม่คลุกคลีอยู่เดียวดาย ปรารถนาวิเวก มักน้อยและตั้งจิตไว้ชอบ ท่านทำประการใดหรือ? ท่านจึงตามรักษาจิตของท่านไว้ในอำนาจได้
"แนะแม่โพธิผู้บำเพ็ญตบะ" อิสิทาสีภิกษุณีกล่าวตอบ "ข้าพเจ้าปฏิบัติตามพระดำรัสของพระศาสดาที่ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลายที่วัดเชตวัน พระองค์ตรัสว่า "
|