หน้าหลัก ชีวประวัติ หนังสือและเทป ฐานิโยธรรม วัดป่าสาลวัน บูรพาจารย์เจดีย์ ลิงค์เวบศาสนา เกี่ยวกับเวบไซต์นี้
อิสิทาสีภิกษุณี ตอนที่ ๓
ชาตินี้ขอสะสางกรรม
ท่านเอย… อันความมีผิวพรรณดี ความมีเสียงไพเราะ ความมีสันฐานรูปร่างสมส่วน ความเป็นคนมีรูปงามมองดูไม่จืดไม่น่าเบื่อหน่าย เหล่านี้ได้มาด้วยบุญทั้งนั้น อันรูปร่างนี้ข้าพเจ้าอาจได้มาด้วยบุญ แต่บุญนี้ก็เหมือนมีกรรมบัง กรรมมันคงบังไว้ อิสิทาสีภิกษุณีย้ำ "แนะแม่โพธิ" ข้าพเจ้าก่อนจะออกบวชก็เหมือนผู้หญิงทั่ว ๆ ไป ชอบงมงายทายดวงชะตาราศีและการบูชาไฟ ไม่มีอะไรจะทำให้มีโชควาสนาเท่ากับการบูชาเพลิง ศาสดาของศาสนาพราหมณ์ท่านสอนว่า คน 3 ประเภทต่อไปนี้จะไม่ได้ไปสวรรค์แน่นอนคือ
1. พราหมณ์ที่กลัวความหนาวไม่กล้าอาบน้ำลอยบาปในแม่น้ำคงคา
2. คนในวรรณะกษัตริย์ที่กลัวสงคราม
3. ภรรยาที่กลัวไฟไม่กล้าเผาตัวตายตามสามี
ข้าพเจ้ากลัว กลัวจะไม่ได้ไปสวรรค์ จึงต้องบูชาไฟและงมงายกับดวงดาว
วันหนึ่ง ข้าพเจ้าเห็นผู้คนเดินมุ่งหน้าสู่ชินทัตตารามเพื่อกราบฟังพระธรรมเทศนาจากพระแม่ชินทัตตาเถรี ก็ลองมาฟังดูบ้าง แต่มันเหมือนท่านแม่ชินทัตตารู้ใจ แสดงธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแก่ท่านอุรุเวลกัสสปะให้ข้าพเจ้าฟัง มีอยู่ตอนหนึ่งข้าพเจ้าฟังแล้วติดใจมาจนทุกวันนี้ เป็นบทความสั้น ๆ ว่า
"ดูก่อนอุรุเวลกัสสปะ ท่านเองและบริวารบำเพ็ญตบะด้วยการบูชาไฟมาหลายปีแล้วหรือ"
"ท่านสมณะโคดม พวกข้าพเจ้าทำมาหลายปีดีดักแล้ว"
"แนะอุรุเวลกัสสปะ ท่านมีความมุ่งหมายอะไรในการบูชาเพลิง และท่านได้รับผลอะไรเป็นเครื่องตอบแทนบ้าง"
"ท่านสมณะ" อุรุเวลกัสสปะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน "ท่านสมณะโคดม เพลิงนั้นมีควันพลวยพรุ่งไปสู่อากาศ ข้าพเจ้าทราบมานานแล้วว่า สิ่งนั้นเป็นสื่อไปถึงเทพเจ้า แล้วท่านก็จะโปรดปรานประทานพรสิ่งที่เราพึงประสงค์ให้ได้"
"อุรุเวลกัสสปะเอย พระพุทธองค์ทรงถามขึ้นแบบบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น ตัวท่านเคยได้รับอะไรตอบแทนบ้าง จากการที่ท่านเฝ้าบูชาอยู่เป็นเวลานาน ตถาคต หมายถึง ท่านเคยได้เห็นหรือเคยได้รับรางวัลอะไรจากเทพเจ้าที่ท่านบูชาอยู่บ้าง ขอให้ท่านตอบตามความเป็นจริง"
"ไม่เคยเลยพระโคดม" อุรุเวลกัสสปะตอบหลังจากตรึกตรองเป็นอย่างดี
"ถ้าอย่างนั้นการบูชาไฟของท่านก็ไม่ได้ผลใช่หรือไม่ การบูชาไฟของท่านก็เหมือนแมงเม่าบินเข้ากองไฟมีแต่จะตายไปเปล่า ๆ"
"ข้าพเจ้าก็สงสัยเหมือนกันพระโคดม แต่นี่เป็นจารีตที่โบราณาจารย์พาดำเนินมา ข้าพเจ้าไม่กล้าละทิ้ง"
"อุรุเวลกัสสปะเอย ถ้าบุคคลสามารถได้สิ่งที่ตนปรารถนาด้วยกิจเพียงง่าย ๆ เพียงเพราะถวายเพลิงฆ่าสัตว์บูชาเทพเจ้าแล้วในโลกนี้ ใครเล่า! จะเป็นผู้ยากจนแร้นแค้นระทมทุกข์ ใครเล่า! จะพลาดจากสิ่งที่ตนประสงค์ ท่านอาจพิสูจน์ด้วยตัวของท่านเองก็ได้ว่า หากใครสักคนหนึ่งกระโจนลงไปในกองเพลิง เพื่อนำเอาชีวิตตัวเองเป็นเครื่องสังเวยเทพเจ้า คนนั้นก็ต้องตายไปเปล่า ๆ เทพเจ้าจะช่วยอะไรไม่ได้เลยแม้สักเล็กน้อย เมื่อเป็นเช่นนี้อะไรเล่า จะช่วยให้เราบรรลุจุดประสงค์ได้ นอกจากตัวของเราเอง ตนนั่นแหละเป็นที่พึ่งของตน เมื่อปรารถนาสิ่งใดก็เอาตนนั้นแหละเป็นที่พึ่ง พยายามบากบั่นในทางที่ชอบเพื่อให้ได้มาซึ่งผลที่ต้องการนั้น"
"แม่โพธิเอย!" อิสิทาสีภิกษุณีกล่าวขึ้นเหมือนเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ ข้าพเจ้าเป็นผู้หลงระทมทุกข์มา เมื่อได้ฟังพระธรรมคำสอนที่คมคายเช่นนั้น ก็อัศจรรย์ใจว่า เป็นทางพอที่จะนำพาเราออกจากทุกข์ได้
"ข้าแต่แม่อิสิทาสี ท่านเป็นอะไรหรือ? ท่านถึงได้รับทุกข์" โพธิภิกษุณีกล่าวขึ้นด้วยความอยากรู้
"พูดถึงชาติตระกูลแล้วข้าพเจ้าไม่ทุกข์หรอกนะ" อิสิทาสีภิกษุณีกล่าวขึ้น ข้าพเจ้าเกิดในกรุงอุชเชนี เมืองหลวงแห่งแคว้นอวันตี บิดาของข้าพเจ้าเป็นคนมีศีล ข้าพเจ้าเป็นธิดาคนเดียวของท่าน จึงเป็นที่รักที่โปรดปรานที่เอ็นดู
อยู่มาวันหนึ่ง พวกคนสนิทของบิดาเป็นเศรษฐีมีตระกูลสูงมาจากเมืองสาเกตุมาขอข้าพเจ้าเป็นสะใภ้ บิดาจึงยกข้าพเจ้าให้ ข้าพเจ้านั้นปฏิบัติสามีและพ่อผัวแม่ผัวประดุจนางทาส ทำตัวเป็นภรรยาประดุจทาสดั่งที่บิดาสั่งสอน เข้าไปกระทำความนอบน้อมด้วยเศียรเกล้า กราบเท้าเช้าเย็น เป็นหญิงดีบำรุงสามีตามเวลา เข้าเรือนไปที่ประตูห้องต้องล้างมือล้างเท้า ประณตประนมมือเข้าไปหาสามี ข้าพเจ้าต้องถือหวีเครื่องลูบไล้ ยาหยอดตาและกระจก แต่งตัวให้สามีเองทีเดียวเหมือนหญิงรับใช้ หุงต้มแกงเอง ล้างภาชนะเอง ปรนนิบัติสามีเสมือนมารดาปรนนิบัติบุตรสุดที่รักคนเดียวฉะนั้น
กิจอันใดที่คนเขาว่าดี ข้าพเจ้าทำให้สามีด้วยกิจนั้นทั้งหมด จงรักภักดี ทำหน้าที่ครบถ้วน เลิกมานะถือตัว ขยันไม่เกียจคร้าน มีศีลธรรมอย่างนี้สามีก็ยังเกลียด แล้วเขาก็ทิ้งข้าพเจ้าไปแบบไม่ใยดี แม้แต่พ่อผัวแม่ผัวนั้นยังอาลัยอาวรณ์เป็นทุกข์ แต่สามีนั้นทิ้งข้าพเจ้าไปไม่ใยดีเหมือนวัตถุสิ่งของที่ควรทิ้ง ข้าพเจ้าเป็นทุกข์ไม่มีที่พึ่งสุดที่จะพรรณา
ท่านเอย… อันหม้ายสาวสามีร้างนั้นจะระทมขมขื่นสักปานใด เราทำความดีสักเท่าใดเวลาทุกข์ใจไม่เห็นความดีใด มาช่วยเราได้บ้าง ข้าพเจ้าน้อยใจและปลอบใจตัวเองไปวัน ๆ
ท่านเอย… บุคคลบางคนเดือดร้อนเพราะไม่มีบุตร บางพวกเดือดร้อนเพราะมีบุตรมากเกินไป บุคคลบางคนเดือดร้อนเพราะไม่มีสามี บางพวกเดือดร้อนเพราะมีสามี แต่พระศาสดาตรัสว่า ผู้มีบุตรย่อมเศร้าโศกเพราะบุตร ผู้มีโคย่อมเศร้าโศกเพราะโค ผู้มีความรักย่อมเศร้าโศกเพราะสิ่งที่รัก บุคคลย่อมเศร้าโศกเพราะมีสิ่งยึดมั่นถือมั่น เมื่อปล่อยวางได้แล้วไม่ยึดมั่นถือมั่น ความทุกข์ก็ไม่มี ความโศกก็สิ้นสูญ
อยู่มาวันหนึ่งท่านบิดาได้ยกข้าพเจ้าให้กุลบุตรผู้มีทรัพย์น้อยกว่าสามีคนแรก อยู่กับสามีคนที่สองได้เพียงเดือนเดียว เขาก็ขับไล่ข้าพเจ้าออกจากบ้านนั้นเหมือนหมา ทั้ง ๆ ที่มีความประพฤติดี จนจะหาที่ต้องติมิได้
"แนะแม่โพธิผู้แสวงหาสัจจะ" อิสิทาสีภิกษุณีกล่าวขึ้นด้วยการเห็นโทษในการครองเรือน "มีคนจำนวนไม่น้อยที่เหมือนกับข้าพเจ้า พยายามแบกก้อนหินแห่งชีวิตคือความหนักอกหนักใจ วิ่งฝ่ากองไฟคือความทะยานอยากไปสู่ภูเขาแห่งความว่างเปล่า"
สมมติว่ามีใครสักคนหนึ่ง กลิ้งก้อนหินอันแสนหนักหน่วงขึ้นสู่ยอดเขา แล้วก็ปล่อยให้หินนั้นตกลงมา และก็กลิ้งกลับขึ้นไปอีกอยู่อย่างนี้ ปีแล้วปีเล่า ท่านจะรู้สึกอย่างไรต่อบุคคลนั้น บุคคลสมมติดังกล่าวนั้นฉันใด คนในโลกนี้ส่วนมากก็เป็นฉันนั้น ได้ลงทุนลงแรงไปเป็นอย่างมาก เข็นก้อนหินคือชีวิตอันเป็นภาระหนักของตน เพื่อไปสู่ยอดเขาแห่งความว่างเปล่า ต่างคนก็ต่างกลิ้งขึ้นไป ถูกความทะยานอยากแห่งตนผลักดันให้กลิ้งขึ้นไป ด้วยเข้าใจว่า บนยอดเขานั้นจะมีอะไร เมื่อถึงยอดเขาแล้วจึงได้รู้ว่า มันไม่มีอะไร คนทั้งหมดนั้นต้องนั่งกอดเข่าเฝ้ารำพึงรำพันว่า "เหน็ดเหนื่อยและเสียแรงเปล่า ๆ"
มนุษย์โดยส่วนมากจึงถูกลงทัณฑ์ ให้ประสบชะตากรรม คือการลงแรงที่สิ้นหวังและไร้ผลตอบแทนอันคุ้มเหนื่อย ก็เพราะความเขลาของมนุษย์เอง ที่ไม่รู้ความจริงแห่งชีวิตและสิ่งอันเป็นแก่นสารที่ตนเองพึงหวังเอาได้ มนุษย์จึงเหนื่อยหน่ายตรากตรำท่ามกลางแสงแดดสายลม เพื่อสมบัติอันไร้ค่า ที่ตนพึ่งพาอาศัยไม่ได้ ท้ายสุดแล้วก็นำตนไปสู่ความว่างเปล่า คือเขาจะไม่ได้อะไรติดกายติดใจที่แท้จริงไปเลย คือเขาสูญเปล่าจากความดี แต่เต็มตื้นไปด้วยความชั่วเสียหาย
ท่านเอย คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตมิใช่เพราะความเป็นใหญ่เป็นโต แต่เป็นคนที่รู้สึกว่าชีวิตของตนมีความสุขสงบเยือกเย็นปราศจากความเร่าร้อนกระวนกระวาย ท่านลองคิดดูเถิดจะเอาอย่างไหนคือ คนพวกหนึ่งต่ำต้อยกว่า แต่มีความสุขมากกว่า อีกพวกหนึ่ง ยิ่งใหญ่กว่าแต่มีความสุขน้อยกว่า
"แนะแม่โพธิผู้เป็นพุทธสาวิกาเอย!" อิสิทาสีภิกษุณีกล่าวขึ้นท่ามกลางแสงแดดอุ่น ๆ ในยามเช้าแห่งเหมันตฤดู "กว่าที่ข้าพเจ้าจะได้มานั่งบนหาดทรายขาวสนทนาธรรมกับท่านนี้ ข้าพเจ้าแทบเป็นแทบตาย หลังจากเป็นหม้ายร้างสามีคนที่สองแล้ว ท่านบิดามีความสงสารอยากให้ข้าพเจ้ามีความสุขอบอุ่น ท่านพยายามหาชายหนุ่มที่ดีมาเป็นสามีของข้าพเจ้าอีก"
อยู่มาวันหนึ่งมีบุรุษหนุ่มผู้หนึ่งเดินบากหน้าขอทาน ผ่านมาทางหน้าบ้านของบิดา ลักษณะเป็นประดุจนักบวชแต่มิใช่นักบวช มีกายวาจาที่สงบระงับ เที่ยวสั่งสอนผู้คนให้รู้จักฝึกจิต ท่านบิดาจึงเชื้อเชิญมาว่า "ท่านพ่อหนุ่ม ท่านจงทิ้งผ้าเก่าที่นุ่งห่มเสีย จงทิ้งภาชนะขอทานเสียเถิดนะ มาเป็นบุตรเขยของเราผู้เป็นเศรษฐีมีทรัพย์มาก"
แม้บุรุษหนุ่มผู้นั้นอยู่กับข้าพเจ้าได้ครึ่งเดือนก็พูดขึ้นว่า "ข้าแต่ท่านพ่อตา โปรดคืนผ้าเก่าและภาชนะขอทานแก่ข้าพเจ้าเถิด ข้าพเจ้าจะไปขอทานต่อดีกว่าอยู่กับอิสิทาสีบุตรีของท่าน"
"ท่านเอย เมื่อข้าพเจ้าได้ยินเช่นนั้น จึงเสียใจเป็นที่สุด" น้ำตาเท่านั้นจริง ๆ ที่เป็นเพื่อนในยามยาก เพื่อนที่ดีสำหรับผู้หญิงในยามทุกข์ก็คือน้ำตา เราเป็นคนไร้ค่าไร้ราคาถึงเพียงนั้นเชียวหรือ แม้แต่สามีที่เป็นขอทานเราไม่เคยดูหมิ่น พูดแต่วาจาเป็นเครื่องรักษาน้ำใจ แต่สามีผู้เป็นขอทานนั้นกลับดูหมิ่นข้าพเจ้า แม้พวกญาติ ๆ จะปลอบโยนให้เขาอยู่ด้วยถ้อยคำต่าง ๆ และไม่ต้องทำกิจอะไรทั้งมวลเขาก็หาพอใจยินดีไม่ ซ้ำยังพูดขึ้นว่า "ไม่มีประโยชน์ที่จะอยู่กับผู้หญิงเช่นนี้" ในที่สุดเขาก็จากไปแบบไม่ใยดี
ท่านเอย ชีวิตเช่นนี้มันมีอะไรที่ต้องหวังอีกมั๊ย การพลัดพรากจากสิ่งที่รักเป็นเรื่องทรมานอยู่แล้ว แต่การถูกเย้ยหยันเหยียดหยามจากคนที่รักเป็นการทรมานยิ่งกว่า ข้าพเจ้าเป็นทุกข์เพราะสิ่งที่ตนเองรักนักรักหนา ในท่ามกลางหมู่ญาติที่ร่ำรวยมากไปด้วยทรัพย์นั้น ข้าพเจ้าจึงคิดไว้ในใจว่า ถ้าไม่ลาบิดามารดาไปตายก็จะบ่ายหน้าไปบวช
อิสิทาสีภิกษุณี ตอนที่ 4
กลับหน้าหลัก