ท่านเอย
อันความมีผิวพรรณดี ความมีเสียงไพเราะ ความมีสันฐานรูปร่างสมส่วน ความเป็นคนมีรูปงามมองดูไม่จืดไม่น่าเบื่อหน่าย เหล่านี้ได้มาด้วยบุญทั้งนั้น อันรูปร่างนี้ข้าพเจ้าอาจได้มาด้วยบุญ แต่บุญนี้ก็เหมือนมีกรรมบัง กรรมมันคงบังไว้
อิสิทาสีภิกษุณีย้ำ "แนะแม่โพธิ" ข้าพเจ้าก่อนจะออกบวชก็เหมือนผู้หญิงทั่ว ๆ ไป ชอบงมงายทายดวงชะตาราศีและการบูชาไฟ ไม่มีอะไรจะทำให้มีโชควาสนาเท่ากับการบูชาเพลิง ศาสดาของศาสนาพราหมณ์ท่านสอนว่า คน 3 ประเภทต่อไปนี้จะไม่ได้ไปสวรรค์แน่นอนคือ
1. พราหมณ์ที่กลัวความหนาวไม่กล้าอาบน้ำลอยบาปในแม่น้ำคงคา
2. คนในวรรณะกษัตริย์ที่กลัวสงคราม
3. ภรรยาที่กลัวไฟไม่กล้าเผาตัวตายตามสามี
ข้าพเจ้ากลัว กลัวจะไม่ได้ไปสวรรค์ จึงต้องบูชาไฟและงมงายกับดวงดาว
วันหนึ่ง ข้าพเจ้าเห็นผู้คนเดินมุ่งหน้าสู่ชินทัตตารามเพื่อกราบฟังพระธรรมเทศนาจากพระแม่ชินทัตตาเถรี ก็ลองมาฟังดูบ้าง แต่มันเหมือนท่านแม่ชินทัตตารู้ใจ แสดงธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแก่ท่านอุรุเวลกัสสปะให้ข้าพเจ้าฟัง มีอยู่ตอนหนึ่งข้าพเจ้าฟังแล้วติดใจมาจนทุกวันนี้ เป็นบทความสั้น ๆ ว่า
"ดูก่อนอุรุเวลกัสสปะ ท่านเองและบริวารบำเพ็ญตบะด้วยการบูชาไฟมาหลายปีแล้วหรือ"
"ท่านสมณะโคดม พวกข้าพเจ้าทำมาหลายปีดีดักแล้ว"
"แนะอุรุเวลกัสสปะ ท่านมีความมุ่งหมายอะไรในการบูชาเพลิง และท่านได้รับผลอะไรเป็นเครื่องตอบแทนบ้าง"
"ท่านสมณะ" อุรุเวลกัสสปะกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน "ท่านสมณะโคดม เพลิงนั้นมีควันพลวยพรุ่งไปสู่อากาศ ข้าพเจ้าทราบมานานแล้วว่า สิ่งนั้นเป็นสื่อไปถึงเทพเจ้า แล้วท่านก็จะโปรดปรานประทานพรสิ่งที่เราพึงประสงค์ให้ได้"
"อุรุเวลกัสสปะเอย พระพุทธองค์ทรงถามขึ้นแบบบัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น ตัวท่านเคยได้รับอะไรตอบแทนบ้าง จากการที่ท่านเฝ้าบูชาอยู่เป็นเวลานาน ตถาคต หมายถึง ท่านเคยได้เห็นหรือเคยได้รับรางวัลอะไรจากเทพเจ้าที่ท่านบูชาอยู่บ้าง ขอให้ท่านตอบตามความเป็นจริง"
"ไม่เคยเลยพระโคดม" อุรุเวลกัสสปะตอบหลังจากตรึกตรองเป็นอย่างดี
"ถ้าอย่างนั้นการบูชาไฟของท่านก็ไม่ได้ผลใช่หรือไม่ การบูชาไฟของท่านก็เหมือนแมงเม่าบินเข้ากองไฟมีแต่จะตายไปเปล่า ๆ"
"ข้าพเจ้าก็สงสัยเหมือนกันพระโคดม แต่นี่เป็นจารีตที่โบราณาจารย์พาดำเนินมา ข้าพเจ้าไม่กล้าละทิ้ง"
"อุรุเวลกัสสปะเอย ถ้าบุคคลสามารถได้สิ่งที่ตนปรารถนาด้วยกิจเพียงง่าย ๆ เพียงเพราะถวายเพลิงฆ่าสัตว์บูชาเทพเจ้าแล้วในโลกนี้ ใครเล่า! จะเป็นผู้ยากจนแร้นแค้นระทมทุกข์ ใครเล่า! จะพลาดจากสิ่งที่ตนประสงค์ ท่านอาจพิสูจน์ด้วยตัวของท่านเองก็ได้ว่า หากใครสักคนหนึ่งกระโจนลงไปในกองเพลิง
เพื่อนำเอาชีวิตตัวเองเป็นเครื่องสังเวยเทพเจ้า คนนั้นก็ต้องตายไปเปล่า ๆ เทพเจ้าจะช่วยอะไรไม่ได้เลยแม้สักเล็กน้อย เมื่อเป็นเช่นนี้อะไรเล่า จะช่วยให้เราบรรลุจุดประสงค์ได้ นอกจากตัวของเราเอง ตนนั่นแหละเป็นที่พึ่งของตน เมื่อปรารถนาสิ่งใดก็เอาตนนั้นแหละเป็นที่พึ่ง พยายามบากบั่นในทางที่ชอบเพื่อให้ได้มาซึ่งผลที่ต้องการนั้น"
"แม่โพธิเอย!" อิสิทาสีภิกษุณีกล่าวขึ้นเหมือนเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ ข้าพเจ้าเป็นผู้หลงระทมทุกข์มา เมื่อได้ฟังพระธรรมคำสอนที่คมคายเช่นนั้น ก็อัศจรรย์ใจว่า เป็นทางพอที่จะนำพาเราออกจากทุกข์ได้
"ข้าแต่แม่อิสิทาสี ท่านเป็นอะไรหรือ? ท่านถึงได้รับทุกข์" โพธิภิกษุณีกล่าวขึ้นด้วยความอยากรู้
"พูดถึงชาติตระกูลแล้วข้าพเจ้าไม่ทุกข์หรอกนะ" อิสิทาสีภิกษุณีกล่าวขึ้น ข้าพเจ้าเกิดในกรุงอุชเชนี เมืองหลวงแห่งแคว้นอวันตี บิดาของข้าพเจ้าเป็นคนมีศีล ข้าพเจ้าเป็นธิดาคนเดียวของท่าน จึงเป็นที่รักที่โปรดปรานที่เอ็นดู
อยู่มาวันหนึ่ง พวกคนสนิทของบิดาเป็นเศรษฐีมีตระกูลสูงมาจากเมืองสาเกตุมาขอข้าพเจ้าเป็นสะใภ้ บิดาจึงยกข้าพเจ้าให้ ข้าพเจ้านั้นปฏิบัติสามีและพ่อผัวแม่ผัวประดุจนางทาส ทำตัวเป็นภรรยาประดุจทาสดั่งที่บิดาสั่งสอน เข้าไปกระทำความนอบน้อมด้วยเศียรเกล้า กราบเท้าเช้าเย็น เป็นหญิงดีบำรุงสามีตามเวลา
เข้าเรือนไปที่ประตูห้องต้องล้างมือล้างเท้า ประณตประนมมือเข้าไปหาสามี ข้าพเจ้าต้องถือหวีเครื่องลูบไล้ ยาหยอดตาและกระจก แต่งตัวให้สามีเองทีเดียวเหมือนหญิงรับใช้ หุงต้มแกงเอง ล้างภาชนะเอง ปรนนิบัติสามีเสมือนมารดาปรนนิบัติบุตรสุดที่รักคนเดียวฉะนั้น
|