แนะแม่โพธิผู้แสวงหาสัจจะ สนิมที่เกิดจากเหล็กย่อมกัดเหล็กนั่นแหละให้กร่อนไป ใจที่ไม่ดีนั่นแหละย่อมกระทำใจให้เสียหาย ข้าพเจ้าก็ย้อนคิดถึงพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้ากระตุ้นเตือนอยู่เสมอว่า
คนที่ไร้ยางอายกล้าเหมือนดั่งกา ชอบทำลายคนอื่นลับหลัง ชอบเอาหน้าอวดดี และมีพฤติกรรมสกปรกมักมีชีวิตอยู่อย่างสบาย ส่วนคนที่มีความละอายแก่ใจ ใฝ่ความบริสุทธิ์เป็นนิตย์ ไม่เกียจคร้าน อ่อนน้อมถ่อมตน มีอาชีพบริสุทธิ์ และมีปัญญา มักมีชีวิตอยู่อย่างลำบาก
บุคคลผู้อาศัยความสะดวกสบายเป็นทางดำเนินของชีวิต มักจะประสบทุกข์ ส่วนบุคคลผู้อาศัยความทุกข์ยากลำบากเป็นทางดำเนินของชีวิต ก็มักจะประสบสุข
การอยู่คนเดียวประเสริฐกว่า ความเป็นเพื่อนที่แท้จริงไม่มีในหมู่คนพาล พึงอยู่คนเดียวไม่พึงทำความชั่ว และไม่พึงกังวลใจ ควรทำตัวเป็นประดุจช้างโทนอยู่ในป่าเพียงตัวเดียวฉะนั้น พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้านี้พอชโลมจิตใจของข้าพเจ้าให้คลายทุกข์คลายโศกลงไปได้บ้าง
วันหนึ่งข้าพเจ้านั่งอยู่หน้าบ้านด้วยความเหม่อลอย มองไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย มองไปเห็นภิกษุณีมีผ้าสีเหลืองหม่นคลุมกาย ผิวขาวละเอียดอ่อนลักษณะแสดงว่ามาจากวรรณะสูง นามว่า "พระแม่เจ้าชินทัตตาเถรี" ท่านเป็นภิกษุณีผู้ทรงวินัย เป็นพหูสูตรสมบูรณ์ด้วยศีล
โคจรมาเพื่อเที่ยวบิณฑบาต เข้ามายังบ้านตระกูลของบิดา ข้าพเจ้าเห็นท่านแล้วจึงเข้าไปจัดอาสนะถวาย ผิวพรรณของท่านผ่องใสยิ่งนัก มีอินทรีย์สงบ ท่านมีจักษุทอดลงต่ำ จะเหลียวซ้ายแลขวาก็มีแต่ความสำรวมระวัง
"อา
ผ้ากาสาวพัสตร์ สัญลักษณ์แห่งความบริสุทธิ์" ข้าพเจ้าน้อมนึกภายในใจด้วยความทราบซึ้ง พระบรมศาสดาตรัสว่า "ผู้ใดคลายกิเลสที่เหนียวแน่นอันเป็นประดุจน้ำฝาดได้แล้ว มั่นคงในศีลประกอบด้วยการฝึกอินทรีย์และมีสัจจะ ผู้นั้นสมควรห่มผ้ากาสายะ"
พระดำรัสนี้เราเคยได้ฟังเมื่อคราวพระพุทธองค์เสด็จผ่านนครแห่งดอกไม้นามว่า ปาฏลีนี้เอง
เมื่อข้าพเจ้าจัดขาทนียโภชนียาหารแก่พระแม่เจ้าชินทัตตาเถรีแล้ว จึงคลานเข้าไปใกล้ ๆ แล้วกราบเรียนท่านว่า "ข้าแต่พระแม่เจ้า ลูกมีทุกข์มีโศกเบื่อโลกเหลือเกิน เห็นภัยในการเกิดแก่เจ็บตาย และไม่ประสงค์จะเกิดอีก อยากจะบวชมากเจ้าข้าฯ"
อิสิทาสี! พระแม่เจ้าชินทัตตาเถรีกล่าวขึ้นด้วยความเมตตา พระศาสดาของเราตรัสว่า "ผู้ใดไม่เศร้าโศกถึงอดีต ไม่กังวลหวังอย่างเร่าร้อนถึงอนาคต มีชีวิตอยู่ด้วยปัจจุบันธรรม แม้จะบริโภคอาหารมื้อเดียวต่อวัน ประพฤติพรหมจรรย์สงบนิ่งอยู่ในป่า ผิวพรรณของผู้นั้นย่อมผ่องใส
ส่วนผู้ที่มัวเมาเศร้าโศกถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว กังวลหวังอย่างเร่าร้อนถึงสิ่งที่ยังไม่มาถึง ย่อมซูบซีดเศร้าหมอง เหมือนไม้สดที่ถูกตัดแล้วย่อมเหี่ยวเฉาไปฉะนั้น"
อิสิทาสีเอย! ร่มเงาของต้นไม้ย่อมอำนวยความสุขให้ได้บ้าง ร่มเงาแห่งญาติย่อมอำนวยความสุขให้ได้ยิ่งกว่าร่มเงาแห่งต้นไม้นั้น ร่มเงาแห่งบิดามารดาย่อมอำนวยความสุขให้ยิ่งกว่าร่มเงาแห่งญาติ ร่มเงาแห่งอาจารย์ย่อมอำนวยความสุขให้ยิ่งกว่าร่มเงาแห่งบิดามารดา
ร่มเงาแห่งพระราชาย่อมอำนวยความสุขให้ยิ่งกว่าร่มเงาแห่งอาจารย์ แต่ร่มเงาแห่งคำสอนของพระบรมศาสดา ย่อมอำนวยความสุขให้ยิ่งกว่าร่มเงาทั้งมวล
แนะอิสิทาสีผู้มีหน้าชุ่มไปด้วยน้ำตา นกทั้งหลายย่อมละทิ้งต้นไม้ที่มีผลวายแล้ว นกกินปลาแล้วย่อมละทิ้งสระน้ำที่แห้งขอด ชายรักสนุกทั้งหลายย่อมละทิ้งหญิงที่แสนดี อำมาตย์ราชมนตรีย่อมละทิ้งพระราชาราชินีที่หมดอำนาจ ผึ้งทั้งหลายย่อมละทิ้งดอกไม้ที่เหี่ยวเฉา
สัตว์ทั้งหลายย่อมละทิ้งป่าที่ถูกไฟเผาผลาญ คนโดยส่วนมากย่อมรักกันเพราะเห็นแก่ประโยชน์ทั้งนั้น อิสิทาสีเอย! ก็ใครเล่าจะพึงเป็นที่รักของใครจริง ๆ
อิสิทาสีเอย มิใช่แต่เพียงบุรุษเท่านั้นที่จะพึงเป็นบัณฑิตได้ แม้สตรีที่มีสติปัญญาเห็นประจักษ์คิดความได้ฉับพลัน ก็พึงเป็นบัณฑิตได้เหมือนกัน พระบรมศาสดาตรัสไว้ว่า "ภิกษุทั้งหลาย! สังสารวัฏฏ์คือการเทียวเกิดเทียวตายนี้ มีเงื่อนต้นเงื่อนปลายที่เราไม่สามารถจะตามไปรู้ได้
สังสารวัฏฏ์นี้มีเงื่อนต้นไม่ปรากฏ สำหรับเหล่าสัตว์ที่มีอวิชชาเป็นฝ้าบังปัญญา มีตัณหาเป็นเครื่องผูกไว้ ซึ่งโลดแล่นท่องเที่ยวไปในภพต่าง ๆ ภิกษุทั้งหลาย! น้ำตาที่ไหลพรากอาบแก้มของเหล่าสัตว์ผู้ครวญคร่ำร่ำไห้ เพราะประสบกับอารมณ์ที่ไม่น่าพอใจ หรือเพราะพรัดพรากจากอารมณ์ที่น่าพอใจ
โลดแล่นท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏฏ์ด้วยกาลอันยาวนานนี้ น้ำในมหาสมุทรทั้ง 4นี้มิอาจเทียมเท่าได้ ภิกษุทั้งหลาย! กองกระดูกของบุคคลหนึ่ง ๆ ที่เทียวเกิดเทียวตายนั้นใหญ่ยิ่งกว่าภูเขาเวปุลบรรพต อันภูเขาเวปุลบรรพตนั้นใหญ่กว่าภูเขาคิชฌกูฏเสียอีก
|