หน้าหลัก ชีวประวัติ หนังสือและเทป ฐานิโยธรรม วัดป่าสาลวัน บูรพาจารย์เจดีย์ ลิงค์เวบศาสนา เกี่ยวกับเวบไซต์นี้
อิสิทาสีภิกษุณี ตอนที่ ๕
ชาตินี้ขอสะสางกรรม
อิสิทาสีภิกษุณีผู้ประเสริฐนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวขึ้นว่า "แม่โพธิข้าพเจ้าจักเล่าวิบากกรรมให้ท่านฟัง ในชาติที่ข้าพเจ้าระลึกได้ทั้ง 7 ชาตินั้น ขอท่านโปรดมีใจเป็นอันหนึ่งฟังวิบากกรรมนั้นเถิด
ชาติที่ 1 ข้าพเจ้าระลึกได้ด้วยอตีตังสญาณว่าตนเองเกิดในนครเอระกัจฉะ เป็นนายช่างทองมีทรัพย์มากมัวเมาในวัยหนุ่มเป็นชู้กับภรรยาของบุคคลอื่น
เมื่อตายลงต้องหมกไหม้อยู่ในนรกเป็นเวลาช้านาน ชาติที่ตกในนรกนี้เป็นชาติที่ 2 ข้าพเจ้าระลึกชาติที่ตกอยู่ในนรกนั้นได้ รู้สึกสงสารสัตวโลกผู้ไม่รู้ความจริงเป็นอย่างยิ่ง พระบรมศาสดาตรัสว่า คนพาลทำกรรมชั่วอยู่ ย่อมไม่รู้สึกว่าตนเองกำลังทำชั่ว กลับเข้าใจว่าเป็นกรรมดี คนพาลนั้นย่อมเดือดร้อนเพราะกรรมชั่วนั้นที่ตนกระทำแล้วประดุจถูกไฟนรกเผาไหม้อยู่ ข้อความนี้ช่างเป็นความจริงเสียนี่กระไร
"แนะแม่โพธิเอย!" ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่จะน่าหัวเราะยิ่งไปกว่านี้อีกแล้วคือ คนชั่ว ๆ มักเรียกคนดีว่าเป็นคนชั่ว ส่วนคนชั่ว ๆ นั้นมักเรียกตนเองว่าเป็นคนดี ในชาติที่เกิดเป็นนายช่างทองนั้นข้าพเจ้าก็เป็นทำนองเช่นนี้
ครั้นออกจากนรกนั้นแล้วก็เข้ามาเกิดในท้องนางวานรอันเป็นชาติที่ 3 ที่ข้าพเจ้าระลึกได้ด้วยอตีตังสญาณ เมื่อเป็นลูกวานรมีอายุได้เพียง 7 วัน ก็ถูกวานรใหญ่จ่าฝูงกัดอวัยวะสืบพันธุ์อันเป็นเครื่องหมายของเพศผู้ขาดเสีย นี่เป็นผลกรรมที่ข้าพเจ้าทำชู้กับภรรยาผู้อื่น ข้าพเจ้าตายเพราะโรคเน่าฟอนเฟะแห่งอวัยวะสืบพันธุ์นั้นแล้ว
ในชาติที่ 4 ก็มาเกิดในท้องแม่แพะที่ตาบอดทั้งเป็นง่อยในแคว้นสินธพ เมื่ออายุได้ 12 ปี ถูกเด็กขี่หลังแล้วเดินโซเซไปกระแทกไม้มีคมเกิดเป็นโรคหนอนฟอนที่อวัยวะเพศ นี่ก็เป็นผลกรรมที่ทำชู้กับภรรยาผู้อื่น
ชาติที่ 5 ข้าพเจ้าระลึกได้ด้วยอตีตังสญาณว่า ตนเองได้มาถือกำเนิดในท้องแม่โคของพ่อค้าโค เป็นลูกโคขนแดงดั่งน้ำครั่ง อายุ 12 เดือน ก็ถูกตอน ถูกใช้ลากไถลากเกวียน แล้วก็ป่วยเป็นโรคตาบอดตาย นี่ก็เป็นผลกรรมที่ทำชู้กับภรรยาผู้อื่น
ชาติที่ 6 ไปเกิดในท้องนางทาสี ณ ริมถนน เกิดมาร่างกายและจิตใจวิปริตผิดแปลกจากมนุษย์ทั้งหลาย จะว่าชายก็ไม่ใช่หญิงก็ไม่เชิง มีรูปร่างไม่สมส่วนแห่งการจะเป็นชายหรือเป็นหญิง มีอายุได้ 30 ปีก็ตาย นี่ก็เป็นผลกรรมแห่งการทำชู้กับภรรยาผู้อื่น
ส่วนในชาติที่ 7 นี้ ข้าพเจ้าเกิดในตระกูลช่างทำเกวียนผู้ตกทุกข์ได้ยาก มีโภคะน้อยขัดสน บิดามีหนี้สินสะสมรุงรัง ข้าพเจ้าเป็นลูกสาวของช่างทำเกวียนนั้น เมื่อบิดาไม่มีเงินใช้หนี้นายกองเกวียน นายกองเกวียนก็ฉุดเอาข้าพเจ้าผู้ยังอยู่ในวัยรุ่นสาวอายุ 16 ปีมาอยู่ในบ้านด้วย เมื่อบุตรของนายกองเกวียนนามว่า คิริทาสเห็นเข้าก็เกิดจิตปฏิพัทธ์หลงรัก และขอไปเป็นภรรยา
แต่นายคิริทาสนั้นมีภรรยาอยู่ก่อนคนหนึ่งแล้ว เธอเป็นคนมีศีล มียศ มีคุณ จงรักภักดีต่อสามี ข้าพเจ้าได้ทำให้สามีเกลียดนาง ข้อที่สามีทั้งหลายเลิกร้างกับข้าพเจ้าซึ่งปรนนิบัติประดุจทาส ก็เป็นเพราะผลของกรรมนั้น ในที่สุดกรรมนั้นข้าพเจ้าก็สะสางได้หมดแล้ว ภพใหม่ไม่มีอีกแล้ว ภพนี้เป็นภพสุดท้าย ข้าพเจ้าจะไม่กลับมาเป็นบ่อแห่งน้ำตาให้ใครอีก
"แม่โพธิเอย!" โดยที่สุดแล้วมนุษย์ล้วนไม่ได้ตามสิ่งที่ตนพึงหวัง แต่ถ้าเรามาทราบตามความเป็นจริงในข้อนี้แล้ว จะแจ่มจ้าภายในใจเบิกบานอยู่ มนุษย์โดยส่วนมากคลุกกรุ่นอยู่กับสิ่งต่าง ๆ โดยไม่ทราบตามความเป็นจริง
กามทั้งหลายที่มนุษย์หลงใหลคลั่งไคล้นั้น อุปมาเหมือนหอกและหลาว มีขันธ์ทั้งหลายเป็นเขียงรองสับ บัดนี้ความยินดีในกามไม่มีแก่ข้าพเจ้าแล้ว กำจัดความเพลิดเพลินในกามทั้งปวงได้แล้ว ทำลายความมืดคืออวิชชาเสียแล้ว
"แม่โพธิ" อิสิทาสีภิกษุณีกล่าวขึ้นด้วยความซาบซึ้งในรสพระธรรม "พวกคนเขลาทั้งหลายเมื่อไม่รู้ตามความเป็นจริง ย่อมพากันนอบน้อมดวงดาวทั้งหลาย ทายโชคชะตาราศี บูชาเพลิงและทำพิธีตัดเวรตัดกรรม โดยหาเข้าถึงสัจจะแห่งชีวิตไม่ แล้วก็สำคัญตนเองว่า "เป็นคนบริสุทธิ์"
บทธรรมที่มนุษย์ควรคิดให้มากในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ก็คือ ความมีสติ ไม่ประมาท หมั่นระลึกถึงความตายอันเป็นมรณัสสติ อันนี้แก้ความหลงได้ชะงัดนัก พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพระพุทธพจน์อันกินใจไว้ว่า
ทหรา จ มหนตา จ เย พาลา เย จ ปณฑิตา
สพเพ มจจุวสํ ยนติ สพเพ มจจุปรายนา ฯ
ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ทั้งคนเขลาและคนฉลาด ต่างบ่ายหน้าไปสู่ความตาย ต้องตกอยู่ใต้อำนาจของมฤตยู อนึ่งเล่า! ความไม่มีโรคจบสิ้นลงด้วยโรค ความเป็นหนุ่มเป็นสาวจบสิ้นลงเพราะชรา ชีวิตทั้งมวลจบสิ้นลงเพราะความตาย ความแก่และความตายเป็นเสมือนภูเขาศิลาใหญ่ สูงตระหง่านระฟ้า กลิ้งหมุนมาจากทิศทั้ง 4 ย่อมบดขยี้สัตว์ทั้งหลายมิให้หลงเหลือเล็ดลอดไปได้เลย เราจะเอาชนะด้วยกองทัพใด ๆ ด้วยเวทมนต์ใด ๆ ด้วยทรัพย์ใด ๆ หรือด้วยวิธีการใด ๆ ก็ไม่ได้ทั้งนั้น ทุกชีวิตจบลงด้วยความตาย เมื่อรู้ดังนี้บัณฑิตมองเห็นประโยชน์อยู่ พึงตั้งศรัทธาลงให้มั่นในพระรัตนตรัย ประพฤติธรรมปฏิบัติชอบด้วยกายวาจาจิต บัณฑิตทั้งหลายย่อมสรรเสริญผู้นั้นในโลกนี้ แม้ละโลกนี้ไปแล้วย่อมบันเทิงในสวรรค์เป็นอย่างน้อย ส่วนพุทธสาวกผู้มีอาสวะสิ้นแล้วย่อมบ่ายหน้าไปสู่พระนิพพานอันเป็นบรมธรรม
"แม่โพธิ!" ธรรมวิสัชนาที่ข้าพเจ้ากล่าวมานี้ท่านคงเป็นที่เข้าใจ เพลานี้พระอาทิตย์ใกล้จะถึงกึ่งฟ้าสายมากแล้ว เราควรจะรีบกลับภิกขุนูปัสสะยะ (สำนักนางภิกษุณี) เดี๋ยวพระแม่เจ้าจะเป็นห่วง ข้าพเจ้าขอสรุปใจความบทธรรมสั้น ๆ ให้ท่านฟังได้เลยว่า "เมื่อใดก็ตามเรามาทราบว่าบาปโดยความเป็นบาปแล้ว เมื่อเห็นโทษว่าบาปโดยความเป็นบาปแล้ว จงเบื่อหน่ายคลายความติดในบาปนั้น ด้วยปัญญาที่พิจารณาเห็นตามความเป็นจริง จิตก็จะหลุดพ้นไปได้ กรรมอันทารุณเผ็ดร้อนที่จะทำให้ข้าพเจ้ายินดียินร้ายไม่มีอีกแล้ว ทุกข์อะไรต่อไปนี้ไม่มีกันอีกหล่ะ เพราะพระอรหัตมรรคแจ่มชัดในใจแล้ว คำสอนของพระศาสดาข้าพเจ้าทำเต็มบริบูรณ์แล้ว
คำว่า "อิสิทาสี" อันเป็นนามที่ติดกายติดใจของข้าพเจ้านี้ จะเป็นชื่อที่จะพึงมีในชาติสุดท้าย
เมื่ออิสิทาสีภิกษุณีและโพธิภิกษุณี สนทนาธรรมกันจบลงด้วยดวงใจชื่นบานดุจดวงตะวันและจันทราที่ส่องแสงประกาย หาดทรายขาวในฤดูใบไม้ร่วงช่างวิเวกเสียนี่กระไร! ลมหนาวในเหมันตกาลยามพระอาทิตย์กึ่งฟ้าช่างอบอุ่นเสียเหลือเกิน แต่สำหรับดวงใจของภิกษุณีทั้ง 2 นางนั้น ยากที่บุคคลสามัญจะเอื้อมอาจคาดเดาได้
เสียงวายุโบกสะบัดพัดหอบเอาเม็ดทรายลอยละลิ่ว เสียงดังหวีดหวิว ขับกล่อมเหมือนดั่งคีตะลีลาของนักดนตรีผู้สุนทรีย์ โอ…ธรรมชาตินี้ช่างดูดีงามนัก สำหรับบุคคลผู้โง่เขลาเบาปัญญาพึงเพ่งมองด้วยความเพลิดเพลินใจที่ไหลหลง แต่สำหรับผู้มีปัญญาแล้วไซร้ พึงพิจารณาเห็นความเป็นไปว่า "ไม่เที่ยง…เป็นอนิจจา" อิสิทาสีภิกษุณีออกอุทานขึ้นมาเบา ๆ เพราะรู้ชัดตามความเป็นจริง
ภิกษุณีทั้ง 2 นาง ย่างเท้าก้าวย่างสะพายบาตรประดุจวิลาสวิไลแห่งสีหไกรสร มุ่งหน้าเดินดุ่มสู่ภิกขุนูปัสสะยะ…กว่าจะถึงชินทัตตาราม ทินกรคงลาลับขอบฟ้าไปแล้ว เหมือนม่านดำธรรมชาติถูกดึงปิดฉากลงยังความมืดให้แผ่ปกคลุมไปทั่ว แต่ดวงใจของภิกษุณีผู้ประเสริฐทั้ง 2 นั้น สว่างสดใสด้วยแสงสว่างคือปัญญา อันไม่มีแสงสว่างอื่นยิ่งไปกว่า
จบเรื่อง "อิสิทาสีภิกษุณี"
กลับหน้าหลัก