หน้าแรก
พระพุทธเจ้า
เสียงธรรมบรรยาย
(เว็บบอร์ด) forum
สารบัญเว็บไทย
คำสอนหลวงพ่อพุธ
รวมรูปภาพ
Guestbook
ชม Video โอลิมปิก  ปักกิ่ง 2008 (Beijing 2008  Olympic Games)
ฐานิยปูชา ๒๕๕๒
ฐานิยปูชา ๒๕๕๑
อ่านมิลินทปัญหา คลิกที่นี่
อ่านจตุคามรามเทพ  คลิกที่นี่
อ่านฐานิโยธรรม  คลิกที่นี่
อ่านฮาธรรมะ พระพยอม  คลิกที่นี่
ขอต้อนรับสู่ โรงแรมเดอะริช
การแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 24 ที่จังหวัดนครราชสีมา
เชิญชม การ์ตูนแอนนิเมชั่น  เสี้ยวลิ้มยี่  (The Legend of Shaolin Kung Fu)
เชิญชม VDO น้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ
เชิญชม ประวัติศาสตร์การเมือง ตอน ปิดตำนานทักษิณ
เจ้าแม่กวนอิม
ชมตัวอย่างภาพยนตร์,หนัง
คลังเก็บรูปภาพ

สติปัฏฐาน ๔ แบบง่ายๆ

การภาวนา เท่าที่ได้ข้อมูลมานี่ง่ายที่สุด ไม่ต้องไปนึกอะไร อย่างดีก็ พุทโธ ธัมโม สังโฆ ๓ จบ แล้วทำสติกำหนดรู้จิตเฉยอยู่ พอจิตว่างอยู่ ปล่อยให้ว่าง ถ้าจิตคิด ปล่อยให้คิด เอาสติตามรู้ ทีนี้ ถ้าหากว่าจิตยังไม่มีพลัง พอคิดปั๊บ เรากำหนดรู้ เขาจะหยุดคิด มัน ก็เป็นความว่าง ว่างแล้วเราก็รู้อยู่ที่จิต

- การรู้อยู่ที่จิต เป็น จิตตานุปัสสนา

- เมื่อจิตคิดขึ้นมา เรากำหนดรู้ ก็ ธัมมานุปัสสนา

- พร้อมๆ กันนั้น สุขทุกข์ก็เกิดขึ้น จิตของเราก็รู้เองโดย ไม่ได้ตั้งใจ ก็เป็น เวทนานุปัสสนา

- กิริยาอาการที่กำหนดหมายรู้สิ่งต่างๆ ได้ มันเกิดจาก ประสาททางสมอง ก็เป็นเรื่องของ กายานุปัสสนา



กำหนดหมายเอาอย่างนี้ ง่ายดี!

ถ้าเรายังอยู่ในความคิดอันนั้น ก็เป็นธัมมานุปัสสนาเรื่อยไป (ถึงแม้เรื่องที่คิดจะไม่เกี่ยวกับธรรมะ) ...อันนี้นักธรรมะเราคงจะเข้าใจผิดว่า ความคิดเรื่องราวต่างๆ เรื่องโลก เรื่องธรรม เรื่องอะไร จิปาถะ ถ้านอกจากคัมภีร์แล้ว ถือว่าไม่ใช่ธรรมะ แต่ความจริง สิ่ง ที่เป็นอารมณ์จิตทั้งหมดที่เรารู้ด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจทั้ง หมด ทั้งเรื่องธรรมะ ทั้งเรื่องวิชาการทางโลก ทั้งธรรมศาสตร์ รัฐศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เป็นเรื่องของธรรมะทั้งนั้น ธรรมะทั้งหลาย เหล่านี้เป็นสิ่งระลึกของจิต สิ่งระลึกของสติ

เพราะฉะนั้น จิตของเราจะคิดถึงเรื่องอะไรก็ตาม เป็นเรื่อง ของธรรมะทั้งนั้น คิดเรื่องบาปก็ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน คิดเรื่อง บุญก็ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน คิดเรื่อง นรก สวรรค์ นิพพาน ก็ ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน คิดเรื่องครอบครัวก็ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน เมื่อจิตคิดไป ไม่ต้องบังคับจิตให้กลับมาบริกรรม พุทโธ ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ แต่เอาสติจ่อเอาไว้



กำหนดหมายเอาอย่างนี้ ง่ายดี!

ถ้าเรายังอยู่ในความคิดอันนั้น ก็เป็นธัมมานุปัสสนาเรื่อยไป (ถึงแม้เรื่องที่คิดจะไม่เกี่ยวกับธรรมะ) ...อันนี้นักธรรมะเราคงจะเข้าใจผิดว่า ความคิดเรื่องราวต่างๆ เรื่องโลก เรื่องธรรม เรื่องอะไร จิปาถะ ถ้านอกจากคัมภีร์แล้ว ถือว่าไม่ใช่ธรรมะ แต่ความจริง สิ่ง ที่เป็นอารมณ์จิตทั้งหมดที่เรารู้ด้วย ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจทั้ง หมด ทั้งเรื่องธรรมะ ทั้งเรื่องวิชาการทางโลก ทั้งธรรมศาสตร์ รัฐศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เป็นเรื่องของธรรมะทั้งนั้น ธรรมะทั้งหลาย เหล่านี้เป็นสิ่งระลึกของจิต สิ่งระลึกของสติ

เพราะฉะนั้น จิตของเราจะคิดถึงเรื่องอะไรก็ตาม เป็นเรื่อง ของธรรมะทั้งนั้น คิดเรื่องบาปก็ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน คิดเรื่อง บุญก็ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน คิดเรื่อง นรก สวรรค์ นิพพาน ก็ ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน คิดเรื่องครอบครัวก็ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน เมื่อจิตคิดไป ไม่ต้องบังคับจิตให้กลับมาบริกรรม พุทโธ ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ แต่เอาสติจ่อเอาไว้



ทีนี้มันสังเกตง่าย ถ้าจิตของเรายังไม่มีพลังเพียงพอ พอคิด ขึ้นมา เรากำหนดรู้ เขาจะว่าง นี่แสดงว่าจิตยังไม่มีพลัง พอจิตมี พลัง เราฝึกไปเรื่อยๆ เขาคิดขึ้นมา เรากำหนดรู้ เขาไม่ยอมหยุด จะ ให้หยุดก็ไม่ยอมหยุด อันนี้เรียกว่า จิตมีพลังงาน

มันจะเป็นไปทั้งฝ่ายดีและฝ่ายชั่ว จิตจะปรุงแต่ง ดีชั่ว บาป บุญ ไม่สำคัญ อย่าไปสนใจ เพียงแต่รู้อย่างเดียวเท่านั้น สิ่งใดที่จิต เราแต่งขึ้นมาเอง เราไม่ได้เจตนาที่จะแต่งขึ้นมา มันไม่เป็นบุญไม่ เป็นบาป มันเป็นกลางๆ บุญบาปนี่ต้องมีเจตนา ถ้าเจตนาไม่พร้อม คิดปรุงแต่งอย่างไรก็ไม่มีบาปไม่มีบุญ



ไปข้างบน