หน้าแรก
พระพุทธเจ้า
เสียงธรรมบรรยาย
(เว็บบอร์ด) forum
สารบัญเว็บไทย
คำสอนหลวงพ่อพุธ
รวมรูปภาพ
Guestbook
อ่านมิลินทปัญหา คลิกที่นี่
อ่านจตุคามรามเทพ  คลิกที่นี่
อ่านฐานิโยธรรม  คลิกที่นี่
อ่านฮาธรรมะ พระพยอม  คลิกที่นี่
ขอต้อนรับสู่ โรงแรมเดอะริช
การแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 24 ที่จังหวัดนครราชสีมา

กำเนิดมหายาน


“วัดแป๊ะเบ้จี้” แปลว่า วัดม้าขาว

คนจีนคนไทย แม้จะนับถือพุทธศาสนาเหมือนกัน แต่รายละเอียดในการปฏิบัติทางศาสนา มีหลายอย่างเหมือนกัน มีบ้างที่ละม้ายคล้ายกัน และมีอีกมากที่ไม่เหมือนกันเลย

ดังที่ทราบกันอยู่ว่าพุทธศาสนาในประเทศไทย จะเป็นนิกายหินยาน ส่วนในประเทศจีน จะเป็นนิกายมหายาน

แม้จะยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าศาสนาพุทธเผยแพร่เข้ามาในจีนเป็นครั้งแรกเมื่อไหร่ แต่ถึงปัจจุบันก็ถือกันว่าน่าจะเข้ามาในประเทศจีนเป็นครั้งแรกใน สมัยฮั่นตะวันออก (ค.ศ.25-200) ราวครึ่งแรกของศตวรรษที่ 1 โดยการเผยแพร่เข้ามานั้นเป็นการเผยแพร่แบบแทรกซึมเข้ามาอย่างช้าๆ

หลักฐานชิ้นสำคัญของพุทธศาสนาในประเทศจีนก็คืออารามที่ชื่อ วัดม้าขาว (白马寺) นี่เอง .....


ม้าขาวหิน หน้าวัดม้าขาว

ตำนานความเป็นมาของ ไป๋หม่าซื่อ (白马寺) หรือ วัดม้าขาว นั้นเกิดขึ้นเมื่อ คืนหนึ่งเมื่อเกือบสองพันปีก่อน ฮ่องเต้ฮั่นหมิงตี้ (汉明帝; ครองราชย์ในช่วง ค.ศ.58-75) แห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันออก ทรงพระสุบิน (ฝัน)ไปว่ามีบุรุษทองคำเหาะไปทางทิศตะวันตก เมื่อพระองค์ตื่นขึ้นจึงสอบถามกับขุนนางว่า ฝันเช่นนี้มีความหมายว่าอย่างไร ขุนนางผู้หนึ่งจึงตอบไปว่าทางทิศตะวันตกมียอดคนถือกำเนิดขึ้น เมื่อได้ยินเช่นนั้นพระองค์จึงรับสั่งให้ขุนนางสิบกว่าคนออกเดินทางไปยังทิศตะวันตกเพื่อเสาะหายอดคนผู้นั้น

เมื่อขุนนางเดินทางไปถึงดินแดนที่ปัจจุบันคือ อัฟกานิสถาน จึงได้พบกับพระสงฆ์สองรูป คือ พระกาศยปมาตังคะ (เส้อม๋อเถิง:摄摩腾) และ พระธรรมรักษ์ (จู๋ฝ่าหลาน:竺法兰) โดยพระสงฆ์สองรูปนี้นำพระคัมภีร์และพระพุทธรูป มาด้วยจำนวนหนึ่ง ดังนั้น บรรดาขุนนางราชวงศ์จึงนิมนต์พระสงฆ์สองรูป และใช้ 'ม้าขาว' บรรทุกพระคัมภีร์และพระพุทธรูป มายังนครหลวงในขณะนั้น ซึ่งก็คือ เมืองลั่วหยาง

ด้านฮ่องเต้ฮั่นหมิงตี้ เมื่อพบทราบเข้าก็พอพระทัยอย่างมาก และรับสั่งให้มีการสร้างวัดขึ้นที่ด้านนอกของประตูเมืองหย่งเหมิน (雍门) นครลั่วหยาง โดยให้ชื่อวัดแห่งนี้ว่า "วัดม้าขาว"


ปัจจุบัน วัดม้าขาวนี้ อยู่ที่เมืองลกเอี๋ยง ในมณฑลโฮนาน

วัดม้าขาวถือว่าเป็นปฐมสังฆาราม หรือ วัดพุทธแห่งแรก ในประเทศจีน โดยกว่า 2,000 ปีที่ผ่านมา วัดแห่งนี้ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากมาย ผ่านยุคสมัยรุ่งเรือง และร่วงโรยของพุทธศาสนาในประเทศจีนมาก็มาก กระทั่งปัจจุบัน อารามที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนั้นต่างก่อสร้างขึ้นในสมัยหมิงและชิงทั้งสิ้น โดย วิหารพระใหญ่ (大佛殿) เป็นสิ่งก่อสร้างหลักของวัด


วัดม้าขาวมีพระไทยมาเยือนมากมาย ส่วนคนไทยไปบริจาคเงินทำนุบำรุงวัดก็มาก

อีก 300 ปีต่อมา ใน พ.ศ. 942 เป็นยุคราชวงศ์จิ้น มีหลวงจีนรูปหนึ่งชื่อ “ฟาเหียน” ได้เดินทางโดยทางเรือไปอินเดียเพื่อศึกษาพุทธศาสนาเพิ่มเติม ในยุคนั้น ศาสนาพุทธในประเทศอินเดียกำลังรุ่งเรืองมาก โดยใช้เวลาอยู่ 15 ปี จึงได้กลับมาพร้อมด้วยพระไตรปิฎก

พ.ศ. 1070 เป็นยุคเริ่มต้นของราชวงศ์เหลียง มีพระภิกษุจากอินเดียเดินทางมาประเทศจีน พระภิกษุรูปนี้ชาวจีนเรียกท่านว่า “ตั๊กม้อโจ๊วซือ” สำหรับผู้ที่ชอบดูหนังกำลังภายใน ก็คงคุ้นเคยกับ “ปรมาจารย์ตั๊กม้อ” เป็นอย่างดี ตั๊กม้อ คำนี้ ชาวบ้านบางพื้นที่แปลตรงตัวว่า ผมพิษ หมายถึง ผมดกมาก เพราะท่านเป็นแขกนั่นเอง แต่ในทางวิชาการ ตั๊กม้อมาจากชื่ออินเดียของท่านว่า ตมะ ปรมาจารย์ตั๊กม้อนี้ จึงมีตัวตนอยู่จริงในประวัติศาสตร์จีน โดยท่านได้ชื่อว่าเป็นต้นกำเนิดนิกายเซนในประเทศจีน เพราะเป็นผู้นำการวิปัสสนาและการบำเพ็ญฌานสมาบัติมาเผยแพร่ และเป็นผู้วางระเบียบแบบแผนประเพณีนิยมทางพุทธศาสนาในประเทศจีน ที่ยังคงสืบเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้


อารามม้าขาว ... เป็น ต้นธาร 'พุทธ' ในจีน

จวบจน พ.ศ. 1172 เป็นสมัยพระเจ้าถังไท้จง แห่งราชวงศ์ถัง หลวงจีนเสวียนจั้ง (หรือ พระถังซำจั๋ง) ได้เดินทางไปจาริกแสวงบุญในอินเดีย โดยท่านเลือกเดินทางเท้าผ่านทะเลทรายโกบี ผ่านแคว้นซินเกียง ข้ามภูเขาหิมาลัย ผ่านประเทศอาฟกานิสถาน ที่สุดก็เข้าถึงประเทศอินเดีย

ซึ่งท่านได้เดินทางไปจนทั่วอินเดีย ใช้เวลาทั้งหมดศึกษาพระพุทธศาสนาและคัดลอกพระไตรปิฎก แล้วจึงเดินทางกลับประเทศจีน โดยผ่านประเทศเนปาล เมืองซินเกียงและทะเลทรายโกบี รวมเวลาทั้งหมด 16 ปี


“พระถังซำจั๋ง”

เมื่อกลับมาอยู่ที่ประเทศจีน ท่านก็ได้เริ่มแปลพระคัมภีร์สูตรต่างๆ จากภาษาสันสกฤตเป็นภาษาจีนอยู่หลายปี จนเสร็จสมบูรณ์ได้เป็นหนังสือรวม 1,335 หมวดหมู่ ที่ชาวจีนยังคงใช้และนับถือตราบทุกวันนี้

ซึ่งในยุคของราชวงศ์ถังเป็นช่วงที่พระพุทธศาสนาในประเทศจีนเจริญรุ่งเรืองที่สุด นาม “พระถังซำจั๋ง” ของหลวงจีนเสวียนจั้ง ก็เป็นฉายาที่ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ราชวงศ์ถังนั่นเอง


ไปข้างบน